รวมข้อมูลประกันสุขภาพเมืองไทยประกันชีวิต อัพเดท 2563 ประกันเมืองไทยชดเชยรายวันมีแบบไหน หรือประกันสุขภาพเมืองไทยเหมาจ่ายมีแบบไหนบ้าง มาดูกัน
ประกันสุขภาพ เมืองไทยประกันชีวิต – สวัสดีค่ะทุกท่าน ช่วงนี้อากาศในบ้านเรามักจะแปรปรวนเป็นประจำ บางวันฝนตก บางวันแดดก็ร้อน อาจจะทำให้เพื่อนๆหลายคนไม่สบายกันได้นะคะ เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญที่ควรจะต้องใส่ใจเป็นพิเศษเลยค่ะ เพราะถ้าไม่สบายแล้วไปหาหมอก็จะนำมาสู่ค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่ถ้าสำหรับคนที่ประกันสุขภาพอาจจะไม่ต้องกังวลอะไรมาก เพราะมีความคุ้มครองอยู่แล้ว แต่สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่ยังไม่ประกันสุขภาพ เราขอแนะนำว่าถ้าหากเพื่อนๆพอที่จะมีกำลังเงินพอที่จะจ่ายเบี้ยประกันได้ก็ควรจะมีไว้นะคะ แต่การที่จะทำประกันสุขภาพได้นั้น เพื่อนๆก็จะต้องมีประกันชีวิตหลักเสียก่อนนะคะ เพราะประกันสุขภาพเป็นประกันที่ซื้อเพิ่มเติมจากประกันหลักค่ะ การมีประกันสุขภาพนั้นจะช่วยทำให้อุ่นใจ ไร้กังวลในเรื่องของค่ารักษาพยาบาล ที่เห็นแล้วต้องร้องตกใจเลยค่ะ เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลเดี๋ยวสูงขึ้นมาเลยค่ะ ไปหาหมอที่ไรก็หมดหลายพันเลย แต่ถ้าใช้สิทธิที่มีในการรักษา เช่น สิทธิประกันสังคม สิทธิบัตรทอง สิทธิข้าราชการ ก็จะต้องใช้เวลานาน ไม่ค่อยได้รับความสะดวก สบาย เหมือนกับการใช้สิทธิของประกันสุขภาพที่เราได้เลือกทำไว้ค่ะ เจ็บป่วย นอนโรงพยาบาลก็ได้รับเงินชดเชยได้ค่ะ และวันนี้ iMoney จะมาแนะนำ ประกันสุขภาพ เมืองไทยประกันชีวิต ที่มีความหลากหลายมากเลยค่ะ มีทั้งคุ้มครองระยะสั้นๆ หรือจะคุ้มระยะยาวก็มีให้เลือกค่ะ ซึ่งวันนี้เราก็ได้คัดผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจมาให้เพื่อนๆได้ดูกันค่ะ เรามาดูรายละเอียดกันเลยค่ะ
รวมผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพเมืองไทยประกันชีวิต อัพเดท 2563
ชื่อผลิตภัณฑ์ |
จุดเด่น | เงื่อนไขการสมัคร |
สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์ สำหรับผู้มีอายุ 18-80 ปี | คุ้มครองทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก และครอบคลุมการรักษาพยาบาลทุกที่ทั่วโลก |
จะต้องมีอายุตั้งแต่ 18 – 80 ปี จ่ายเบี้ยประกันภัยปีต่อปี และสามารถต่ออายุการรับประกันได้สูงถึงอายุ 84 ปี |
โครงการเมืองไทย สบายใจ เกินคุ้ม |
จ่ายเบี้ยประกันภัยเพียงหลักร้อย แต่คุ้มครองหลักแสน สมัครง่ายมาก ไม่ต้องตรวจสุขภาพ | จะต้องมีอายุตั้งแต่ 18 – 55 ปี คุ้มครองจนถึงอายุ 65 ปี |
สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ แบบ สมาร์ทเฮลท์ | ครอบคลุมทุกการรักษาพยาบาล ทั้งในกรณีที่นอน หรือไม่นอนโรงพยาบาล และได้รับเงินชดเชยรายวัน
|
จะต้องมีอายุตั้งแต่ 1 เดือน – 70 ปี จ่ายเบี้ยประกันภัยปีต่อปี และสามารถต่ออายุการรับประกันได้สูงถึงอายุ 85 ปี |
โครงการเมืองไทย อุ่นใจ 3 คุ้ม |
คุ้มครองในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ และได้รับเงินชดเชยในกรณีที่นอนโรงพยาบาล | จะต้องมีอายุตั้งแต่ 16 – 55 ปี และระยะเวลาในการจ่ายเบี้ยประกันภัยและคุ้มครอง 10 ปี |
สัญญาเพิ่มเติม การประกันภัยสุขภาพแบบ เอ็กซ์ตร้า แคร์ | คุ้มครองในการรักษาพยาบาลสูงสุดถึง 400,000 บาท |
จะต้องมีอายุตั้งแต่ 1 เดือน – 70 ปี จ่ายเบี้ยประกันภัยปีต่อปี และสามารถต่ออายุการรับประกันได้สูงถึงอายุ 80 ปี |
สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ วงเงินแน่นอน |
เบี้ยประกันภัยคงที่ตลอดอายุสัญญา และได้รับเงินชดเชยรายวันในกรณีที่นอนโรงพยาบาล | จะต้องมีอายุตั้งแต่ 6 – 64 ปี และจะต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยจนถึงอายุ 64 ปี |
สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบเหมาจ่าย | เจ็บป่วย หรือ ได้รับบาดเจ็บ ประกันก็คุ้มครอง รวมทั้งห้อง ICU หรือเข้ารับการผ่าตัดก็คุ้มครอง |
จะต้องมีอายุตั้งแต่ 6 – 64 ปี และจะต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยจนถึงอายุ 64 ปี |
Credit : https://pixabay.com
ประกันสุขภาพเมืองไทย สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์ สำหรับผู้มีอายุ 18-80 ปี
สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์ สำหรับผู้มีอายุ 18-80 ปี ประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก ไม่ว่าจะรักษาในประเทศหรือนอกประเทศ ก็สามารถรักษาได้ตลอดเลยค่ะ แถมยังมีความคุ้มครองเรื่องสุขภาพที่หลากหลาย สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ และมีแผนประกันสุขภาพให้เลือกกันถึง 4 แผนเลยค่ะ ชอบแบบไหนก็เลือกแบบนั้นได้เลยค่ะ และคุณยังสามารถนำเบี้ยประกันภัยมาลดหย่อนภาษีได้อีกด้วยค่ะ
จุดเด่น
- คุ้มครองทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก
- คุ้มครองในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน
- ให้ความคุ้มครองเรื่องสุขภาพที่หลากหลายประเภท
- เจ็บป่วยที่ไหนก็รักษาได้ เนื่อจากครอบคลุม ทุกที ทั่วโลก
- สามารถนำเบี้ยประกันภัยมาลดหย่อนภาษีเงินได้
สิทธิประโยชน์ในการคุ้มครองที่จะได้รับ โดยจะแบ่งไปตามแผนประกันสุขภาพแต่ละแผนค่ะ ซึ่งเราก็ได้นำรายละเอียดของแต่ละแผนมาให้เพื่อนๆได้ลองเปรียบเทียบกันค่ะว่าถ้าจะสมัครจะเลือกแผนไหนดีที่สามารถตอบโจทย์ของเพื่อนๆได้ค่ะ
แผนที่ 1 จะได้รับผลประโยชน์สูงสุดถึง 20,000,000 บาทต่อปี
- กรณีที่จะต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล หรือที่เรียกว่าเป็นผู้ป่วยใน จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวัน ต่อวันต่อการเข้าพักรักษาต่อครั้ง โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 365 วันค่ะ ถ้าในกรณีที่เกินวันที่เกินไปคุณจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบจ่ายเองนะคะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 10,000 บาท
- ค่าห้อง ICU โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 365 วันค่ะ แต่จะต้องนับรวมกับ ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวันด้วยค่ะ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ ในโรงพยาบาล เช่น ค่าแพทย์ตรวจรักษา ค่าแพทย์ผ่าตัดและหัตถการค่าธรรมเนียมวิสัญญีแพทย์ หรือวิสัญญีพยาบาล ค่าห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ในห้องผ่าตัด จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่าใช้จ่ายในการปลูกถ่ายอวัยวะ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ ซึ่งจะสามารถเบิกได้เพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้นนะคะ
- กรณีที่รักษาพยาบาลแบบฉุกเฉิน จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่าธรรมเนียมรถพยาบาล และค่าบริการการช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- หากได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เป็นให้ฟันจะได้รับกระทบกระเทือน จะได้รับค่ารักษาโดยจะจ่ายให้ตามจริงค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุภายใน 24 ชั่วโมง ขณะเป็นผู้ป่วยนอก จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- กรณีที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลแต่ไม่ได้นอนพักที่โรงพยาบาล หรือที่เรียกว่าเป็นผู้ป่วยนอก จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่าการตรวจเอ็กซ์เรย์ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- จะได้รับค่ารักษาโรคมะเร็ง ไม่ว่าจะต้องให้เคมีบำบัด หรือรังสีบำบัด จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- หากเป็นโรคไต มีความจำเป็นจะต้องล้างไต ก็จะได้รับค่าล้างไต โดยจะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
แผนที่ 2 จะได้รับผลประโยชน์สูงสุดถึง 40,000,000 บาทต่อปี
- กรณีที่จะต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล หรือที่เรียกว่าเป็นผู้ป่วยใน จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวัน ต่อวันต่อการเข้าพักรักษาต่อครั้ง โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 365 วันค่ะ ถ้าในกรณีที่เกินวันที่เกินไปคุณจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบจ่ายเองนะคะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 12,000 บาท
- ค่าห้อง ICU โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 365 วันค่ะ แต่จะต้องนับรวมกับ ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวันด้วยค่ะ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ ในโรงพยาบาล เช่น ค่าแพทย์ตรวจรักษา ค่าแพทย์ผ่าตัดและหัตถการค่าธรรมเนียมวิสัญญีแพทย์ หรือวิสัญญีพยาบาล ค่าห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ในห้องผ่าตัด จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่าใช้จ่ายในการปลูกถ่ายอวัยวะ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ ซึ่งจะสามารถเบิกได้เพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้นนะคะ
- พิเศษสำหรับคุณพ่อคุณแม่ จะได้รับค่าห้องพักในโรงพยาบาล ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 5,000 บาท
- หากจะต้องมีการฟื้นฟูสภาพร่างกายที่โรงพยาบาล จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ แต่จะได้ไม่เกิน 28 วันต่อโรคค่ะ
- หากแพทย์เห็นว่ามีความจำเป็นจะต้องมีพยาบาลส่วนตัวก็สามารถเบิกได้ 3,000 บาทต่อวัน แต่จะต้องไม่เกิน 40 วันต่อปีค่ะ
- กรณีที่รักษาพยาบาลแบบฉุกเฉิน จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่าธรรมเนียมรถพยาบาล และค่าบริการการช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- หากได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เป็นให้ฟันจะได้รับกระทบกระเทือน จะได้รับค่ารักษาโดยจะจ่ายให้ตามจริงค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุภายใน 24 ชั่วโมง ขณะเป็นผู้ป่วยนอก จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- กรณีที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลแต่ไม่ได้นอนพักที่โรงพยาบาล หรือที่เรียกว่าเป็นผู้ป่วยนอก จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่ายารักษา ค่าแพทย์ ค่าธรรมเนียม สามารถเบิกได้ 2,500 ต่อครั้ง ซึ่งจะเบิกได้ไม่เกิน 15 ครั้งต่อปี
- ค่าการตรวจเอ็กซ์เรย์ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- จะได้รับค่ารักษาโรคมะเร็ง ไม่ว่าจะต้องให้เคมีบำบัด หรือรังสีบำบัด จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- หากเป็นโรคไต มีความจำเป็นจะต้องล้างไต ก็จะได้รับค่าล้างไต โดยจะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
แผนที่ 3 จะได้รับผลประโยชน์สูงสุดถึง 75,000,000 บาทต่อปี
- กรณีที่จะต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล หรือที่เรียกว่าเป็นผู้ป่วยใน จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวัน ต่อวันต่อการเข้าพักรักษาต่อครั้ง โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 365 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 15,000 บาท
- ค่าห้อง ICU โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 365 วันค่ะ แต่จะต้องนับรวมกับ ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวันด้วยค่ะ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ ในโรงพยาบาล เช่น ค่าแพทย์ตรวจรักษา ค่าแพทย์ผ่าตัดและหัตถการค่าธรรมเนียมวิสัญญีแพทย์ หรือวิสัญญีพยาบาล ค่าห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ในห้องผ่าตัด จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่าใช้จ่ายในการปลูกถ่ายอวัยวะ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ ซึ่งจะสามารถเบิกได้เพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้นนะคะ
- พิเศษสำหรับคุณพ่อคุณแม่ จะได้รับค่าห้องพักในโรงพยาบาล ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 5,000 บาท
- หากจะต้องมีการฟื้นฟูสภาพร่างกายที่โรงพยาบาล จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ แต่จะได้ไม่เกิน 28 วันต่อโรคค่ะ
- ค่ารักษาทางจิตเวชต่อโรคสูงสุดไม่เกิน 75,000 บาท และเมื่อรวมกันแล้วตลอดระยะสัญญานั้นจะเบิกได้ไม่เกิน 300,000 บาทค่ะ ทั้งนี้การรักษานี้จะเป็นผู้ป่วยในเท่านั้นนะคะจึงจะสามารถเบิกได้
- หากแพทย์เห็นว่ามีความจำเป็นจะต้องมีพยาบาลส่วนตัวก็สามารถเบิกได้ 4,000 บาทต่อวัน แต่จะต้องไม่เกิน 40 วันต่อปีค่ะ
- กรณีที่รักษาพยาบาลแบบฉุกเฉิน จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่าธรรมเนียมรถพยาบาล และค่าบริการการช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- หากได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เป็นให้ฟันจะได้รับกระทบกระเทือน จะได้รับค่ารักษาโดยจะจ่ายให้ตามจริงค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุภายใน 24 ชั่วโมง ขณะเป็นผู้ป่วยนอก จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- กรณีที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลแต่ไม่ได้นอนพักที่โรงพยาบาล หรือที่เรียกว่าเป็นผู้ป่วยนอก จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่ายารักษา ค่าแพทย์ ค่าธรรมเนียม สามารถเบิกได้ 5,000 ต่อครั้ง ซึ่งจะเบิกได้ไม่เกิน 20 ครั้งต่อปี
- หากรักษาโดยแผนทางเลือกจะได้รับค่ารักษาการฝังเข็ม ธรรมชาติบำบัดกระดูกและกล้ามเนื้อบำบัด และการจัดกระดูก จะเบิกได้ไม่เกิน 10,000 บาท
- ค่ารักษากายภาพบำบัด จะได้รับความคุ้มครอง โดยจะจ่ายให้ตามค่ารักษาตามจริงค่ะ
- ค่าการตรวจเอ็กซ์เรย์ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- จะได้รับค่ารักษาโรคมะเร็ง ไม่ว่าจะต้องให้เคมีบำบัด หรือรังสีบำบัด จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- หากเป็นโรคไต มีความจำเป็นจะต้องล้างไต ก็จะได้รับค่าล้างไต โดยจะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- จะได้รับค่ารักษาโรคมะเร็ง ไม่ว่าจะต้องให้เคมีบำบัด หรือรังสีบำบัด จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- หากเป็นโรคไต มีความจำเป็นจะต้องล้างไต ก็จะได้รับค่าล้างไต โดยจะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- กรณีคลอดบุตร หรือที่เรียกว่าเป็นผู้ป่วยนอก จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ในกรณีที่คลอดโดยวิธีธรรมชาติ จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 90,000 บาท หรือถ้าผ่าคลอดนั้น จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 150,000 บาท
- ในกรณีที่มีค่าใช้จ่ายสำหรับการถ่างขยายปากมดลูกและการขูดมดลูกกรณีแท้งบุตร จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- หากเกิดภาวะแทรกซ้อนในขณะที่ตั้งครรภ์และหลังคลอดบุตร จะได้รับค่ารักษาตามที่จ่ายจริงค่ะ
- กรณีค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- คุณสามารถใช้บริการตรวจสุขภาพประจำปี โดยจะได้รับเงินค่าตรวจสุขภาพไม่เกิน 5,000 บาทต่อปีค่ะ
- ได้รับค่าฉีดวัคซีน สามารถเบิกได้ไม่เกิน 4,000 บาทต่อปีค่ะ
- สามารถเบิกค่าทำฟันได้ไม่เกิน 10,000 บาทต่อปีค่ะ
- ค่ารักษาทางสายตา สามารถเบิกได้ไม่เกิน 5,000 บาทต่อปีค่ะ
แผนที่ 4 จะได้รับผลประโยชน์สูงสุดถึง 100,000,000 บาทต่อปี
- กรณีที่จะต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล หรือที่เรียกว่าเป็นผู้ป่วยใน จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวัน ต่อวันต่อการเข้าพักรักษาต่อครั้ง โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 365 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 25,000 บาท
- ค่าห้อง ICU โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 365 วันค่ะ แต่จะต้องนับรวมกับ ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวันด้วยค่ะ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ ในโรงพยาบาล เช่น ค่าแพทย์ตรวจรักษา ค่าแพทย์ผ่าตัดและหัตถการค่าธรรมเนียมวิสัญญีแพทย์ หรือวิสัญญีพยาบาล ค่าห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ในห้องผ่าตัด จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่าใช้จ่ายในการปลูกถ่ายอวัยวะ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ ซึ่งจะสามารถเบิกได้เพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้นนะคะ
- พิเศษสำหรับคุณพ่อคุณแม่ จะได้รับค่าห้องพักในโรงพยาบาล ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 5,000 บาท
- หากจะต้องมีการฟื้นฟูสภาพร่างกายที่โรงพยาบาล จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ แต่จะได้ไม่เกิน 28 วันต่อโรคค่ะ
- ค่ารักษาทางจิตเวชต่อโรคสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท และเมื่อรวมกันแล้วตลอดระยะสัญญานั้นจะเบิกได้ไม่เกิน 400,000 บาทค่ะ ทั้งนี้การรักษานี้จะเป็นผู้ป่วยในเท่านั้นนะคะจึงจะสามารถเบิกได้
- หากแพทย์เห็นว่ามีความจำเป็นจะต้องมีพยาบาลส่วนตัวก็สามารถเบิกได้ 5,000 บาทต่อวัน แต่จะต้องไม่เกิน 40 วันต่อปีค่ะ
- กรณีที่รักษาพยาบาลแบบฉุกเฉิน จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่าธรรมเนียมรถพยาบาล และค่าบริการการช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- หากได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เป็นให้ฟันจะได้รับกระทบกระเทือน จะได้รับค่ารักษาโดยจะจ่ายให้ตามจริงค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุภายใน 24 ชั่วโมง ขณะเป็นผู้ป่วยนอก จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- กรณีที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลแต่ไม่ได้นอนพักที่โรงพยาบาล หรือที่เรียกว่าเป็นผู้ป่วยนอก จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่ายารักษา ค่าแพทย์ ค่าธรรมเนียม จ่ายเงินให้ตามที่จริงเลยค่ะ แต่จะเบิกได้ไม่เกิน 360 ครั้งต่อปี
- หากรักษาโดยแผนทางเลือกจะได้รับค่ารักษาการฝังเข็ม ธรรมชาติบำบัดกระดูกและกล้ามเนื้อบำบัด และการจัดกระดูก จะเบิกได้ไม่เกิน 40,000 บาท
- ค่ารักษากายภาพบำบัด จะได้รับความคุ้มครอง โดยจะจ่ายให้ตามค่ารักษาตามจริงค่ะ
- ค่าการตรวจเอ็กซ์เรย์ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- จะได้รับค่ารักษาโรคมะเร็ง ไม่ว่าจะต้องให้เคมีบำบัด หรือรังสีบำบัด จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- หากเป็นโรคไต มีความจำเป็นจะต้องล้างไต ก็จะได้รับค่าล้างไต โดยจะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- จะได้รับค่ารักษาโรคมะเร็ง ไม่ว่าจะต้องให้เคมีบำบัด หรือรังสีบำบัด จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- หากเป็นโรคไต มีความจำเป็นจะต้องล้างไต ก็จะได้รับค่าล้างไต โดยจะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- กรณีคลอดบุตร หรือที่เรียกว่าเป็นผู้ป่วยนอก จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ในกรณีที่คลอดโดยวิธีธรรมชาติ จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 150,000 บาท หรือถ้าผ่าคลอดนั้น จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 200,000 บาท
- ในกรณีที่มีค่าใช้จ่ายสำหรับการถ่างขยายปากมดลูกและการขูดมดลูกกรณีแท้งบุตร จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- หากเกิดภาวะแทรกซ้อนในขณะที่ตั้งครรภ์และหลังคลอดบุตร จะได้รับค่ารักษาตามที่จ่ายจริงค่ะ
- กรณีค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- คุณสามารถใช้บริการตรวจสุขภาพประจำปี โดยจะได้รับเงินค่าตรวจสุขภาพไม่เกิน 10,000 บาทต่อปีค่ะ
- ได้รับค่าฉีดวัคซีน สามารถเบิกได้ไม่เกิน 6,000 บาทต่อปีค่ะ
- สามารถเบิกค่าทำฟันได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อปีค่ะ
- ค่ารักษาทางสายตา สามารถเบิกได้ไม่เกิน 7,500 บาทต่อปีค่ะ
ทั้งนี้ การรักษาที่ครอบคลุมทั่วโลกเลยค่ะ ไม่ว่าจะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศและมีเหตุจะต้องเข้าโรงพยาบาล ก็สามารถใช้สิทธิที่ทำประกันสุขภาพนี้ใช้รักษาพยาบาลได้เลยค่ะ แต่ในขณะเดียวกันก็มีประเทศสหรัฐอเมริกาค่ะ และในขณะเดียวกันก็มีโรคประกันภัยสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์ ไม่ให้การคุ้มครองด้วยค่ะ
- หากมีการเจ็บป่วยไม่ว่ากรณีใดๆ ที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลา 30 วันนับจากวันที่ทำสัญญาเพิ่มเติมนี้ หรือวันต่ออายุกรณีสัญญาเพิ่มเติมสิ้นผลบังคับครั้งสุดท้าย แล้วแต่กรณีใดจะเกิดขึ้นหลังสุด
- หากเป็นโรคเนื้องอก ถุงน้ำ หรือมะเร็งทุกชนิด, ริดสีดวงทวาร, ไส้เลื่อนทุกชนิด, ต้อเนื้อ หรือต้อกระจก, การตัดทอนซิล หรืออดีนอยด์, นิ่วทุกชนิด, เส้นเลือดขอดที่ขา และเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หากพบว่าเป็นโรคดังกล่าวภายใน 120 วันนับจากวันที่ทำสัญญาเพิ่มเติมนี้ หรือวันต่ออายุกรณีสัญญาเพิ่มเติมสิ้นผลบังคับครั้งสุดท้าย แล้วแต่กรณีใดจะเกิดขึ้นหลังสุด
- หากเป็นโรคเรื้อรัง การเจ็บป่วยหรือการบาดเจ็บที่รักษาไม่หายก่อนวันทำสัญญาประกันภัย และถ้าตรวจรักษาภาวะที่เป็นมาแต่กำเนิดหรือปัญหาด้านพัฒนาการ หรือโรคทางพันธุกรรม
- หากเกิดจากการผ่าตัดเพื่อเสริมสวย หรือการแก้ไขปัญหาผิวพรรณ สิว ฝ้า กระ รังแค ผมร่วง หรือการควบคุมน้ำหนักตัว หรือการผ่าตัดค่ะ
เงื่อนไขการสมัครสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์ สำหรับผู้มีอายุ 18-80 ปี
- ผู้สมัครจะต้องมีอายุตั้งแต่ 18 – 80 ปี
- ระยะเวลาเอาประกันภัย 1 ปี
- ระยะเวลาจ่ายเบี้ยประกันภัย 1 ปี สามารถต่ออายุการรับประกันได้สูงถึงอายุ 84 ปี
- คุณสามารถจ่ายเบี้ยประกันภัยได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรายเดือน ราย 3 เดือน ราย 6 เดือน หรือรายปีค่ะ
Credit : https://pixabay.com
ประกันสุขภาพเมืองไทยประกันชีวิต โครงการเมืองไทย สบายใจ เกินคุ้ม
โครงการเมืองไทย สบายใจ เกินคุ้ม ประกันสุขภาพที่จ่ายเบี้ยประกันที่แสนจะถูกเพียงแค่หลักร้อย แต่ได้รับความคุ้มครองที่สุดคุ้มเลยค่ะ ไม่ว่าจะเจ็บป่วยที่ไหนจะในประเทศ หรือต่างประเทศ ก็ไม่ต้องกังวลเลยค่ะถ้าคุณมีประกันสุขภาพโครงการเมืองไทย สบายใจ เกินคุ้มนี้ค่ะ นอกจากนี้ยังนำเบี้ยประกันภัยที่จ่ายไปแล้วนั้นมาเป็นส่วนลดหย่อนภาษีเงินได้อีกด้วยค่ะ
จุดเด่น
- สมัครง่ายมาก ไม่ต้องตรวจสุขภาพ
- คุ้มครองการเจ็บป่วยทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ
- จ่ายเบี้ยประกันภัยเพียงหลักร้อย แต่คุ้มครองหลักแสน
- สามารถลดหย่อนภาษีเงินได้
สิทธิประโยชน์ในการคุ้มครองที่จะได้รับ โดยจะมีให้เลือกด้วยกัน 2 แผนค่ะ
แผน 1
- กรณีที่เสียชีวิต ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จะได้รับเงิน 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
- ความคุ้มครองในการรักษาพยาบาลแบบเหมาจ่าย ไม่เกิน 50,000 บาทต่อครั้ง โดยจะต้องไม่เกิน 250,000 บาทต่อปีค่ะ นั่นหมายความว่าจะเบิกได้ไม่เกิน 5 ครั้งต่อปีนั่นเองค่ะ
- ในกรณีที่จะต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ประกันก็จะออกค่าห้อง ค่าอาหาร และค่าบริการพยาบาลประจำวันต่อวันให้ไม่เกินวันละ 2,000 บาทค่ะ ซึ่งจะเบิกได้ไม่เกิน 120 วันค่ะ โดยค่าห้อง ค่าอาหาร และค่าบริการพยาบาลนี้ก็จะรวมไปกับค่ารักษาพยาบาลแบบเหมาจ่ายด้วยเช่นกันค่ะ
แผน 2
- กรณีที่เสียชีวิต ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จะได้รับเงิน 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
- ความคุ้มครองในการรักษาพยาบาลแบบเหมาจ่าย ไม่เกิน 75,000 บาทต่อครั้ง โดยจะต้องไม่เกิน 375,000 บาทต่อปีค่ะ นั่นหมายความว่าจะเบิกได้ไม่เกิน 5 ครั้งต่อปีนั่นเองค่ะ
- ในกรณีที่จะต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ประกันก็จะออกค่าห้อง ค่าอาหาร และค่าบริการพยาบาลประจำวันต่อวันให้ไม่เกินวันละ 3,000 บาทค่ะ ซึ่งจะเบิกได้ไม่เกิน 120 วันค่ะ โดยค่าห้อง ค่าอาหาร และค่าบริการพยาบาลนี้ก็จะรวมไปกับค่ารักษาพยาบาลแบบเหมาจ่ายด้วยเช่นกันค่ะ
ทั้ง 2 แผนนี้จะให้ความคุ้มครองเป็นระยะเวลา 10 ปี และก็จะต้องจ่ายเบี้ยประกันเป็นเวลา 10 ปีเช่นกันค่ะ โดยจะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 100,000 บาทค่ะ
หลายๆคนอาจจะยังสงสัยในเรื่องการรักษาพยาบาลของโครงการเมืองไทย สบายใจ เกินคุ้ม ว่าจะได้รับผลประโยชน์ในการคุ้มครองการรักษาพยาบาลอย่างไร เราจึงได้ยกตัวอย่างมาให้ได้เข้าใจมากขึ้นค่ะ
ตัวอย่างเช่น หากคุณได้เลือกสมัครทำประกันสุขภาพ ตอนที่มีอายุ 30 ปี และได้เลือกแผน 1 จากการคำนวณแล้วคุณจะต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยเฉลี่ยเดือนละ 770.30 บาท โดยมีความคุ้มครองการรักษาพยาบาลแบบเหมาจ่ายอยู่ที่ 50,000 บาท ซึ่งจะให้ความคุ้มครองสูงสุดไม่เกิน 250,000 บาทต่อปีค่ะ
ในกรณีที่คุณได้บาดเจ็บจนจะเข้าพักรักษาตัวโรงพยาบาล ก็จะได้รับความคุ้มครอง 50,000 บาทต่อการรักษาพยาบาลหนึ่งครั้ง ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกิดขึ้นเช่น
- ค่าห้อง ค่าอาหาร และและค่าบริการพยาบาลประจำวันสูงสุด 2,000 บาทต่อวัน
- ค่าห้อง ICU ก็จะจ่ายให้ตามจริงที่เกิดขึ้นค่ะ ไม่ว่าจะเป็นค่าแพทย์ตรวจรักษา,ค่าแพทย์ผ่าตัดและหัตถการต่อการเข้าพักรักษา,ค่าแพทย์วิสัญญี,ค่าห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ในห้องผ่าตัด,ค่ากายภาพบำบัด,ค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ และยังรวมไปถึงค่ายาที่จะต้องนำกลับทานที่บ้านด้วยค่ะ แต่ค่ายานี้จะต้องไม่เกิน 1,000 บาทนะคะ
เงื่อนไขการสมัครประกันสุขภาพโครงการเมืองไทย สบายใจ เกินคุ้ม
- ผู้สมัครจะต้องมีอายุตั้งแต่ 18 – 55 ปี
- ให้ความคุ้มครองจนถึงอายุ 65 ปี
- คุณสามารถจ่ายเบี้ยประกันภัยได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรายเดือน ราย 3 เดือน ราย 6 เดือน หรือรายปีค่ะ
Credit : https://pixabay.com
เมืองไทยประกันสุขภาพ สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ แบบ สมาร์ทเฮลท์
สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ แบบ สมาร์ทเฮลท์ ประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองทั้งในกรณีที่นอนโรงพยาบาลหรือไม่นอนโรงพยาบาล ยามที่เกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินก็สามารถใช้ประกันสุขภาพนี้ได้ด้วยนะคะ เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการวางแผนชีวิต เพื่อเป็นหลักประกันชีวิต ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ทำให้อุ่นใจทุกครั้งเมื่อเจ็บป่วยอีกด้วยค่ะ
จุดเด่น
- ครอบคลุมทุกการรักษาพยาบาล ทั้งในกรณีที่นอน หรือ ไม่นอน โรงพยาบาล
- คุ้มครองในกรณีล้างไต เคมีบำบัด และค่าฉายแสง
- คุ้มครองในกรณีรักษาพยาบาลต่อเนื่องให้สูงถึง 5,000 บาท
- เสียชีวิตได้รับเงินช่วยเหลือ 10,000 บาท
- สามารถนำเบี้ยประกันภัยมาลดหย่อนภาษีได้
สำหรับประกันสุขภาพสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ แบบ สมาร์ทเฮลท์ มีแผนให้เลือกกันถึง 5 แผนเลยค่ะ ซึ่งแต่ละแผนจะได้รับความคุ้มครองที่เหมือนกันเลยค่ะ แต่ที่แตกต่างกันก็คือจำนวนเงินที่คุ้มครองค่ะ เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าแผนไหนที่เหมาะกับคุณ และสามารถตอบโจทย์กับความต้องการของคุณได้มากที่สุดค่ะ
แผน 1 สิทธิประโยชน์ในการคุ้มครองที่ได้จะได้รับ
- กรณีที่จะต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล หรือที่เรียกว่าเป็นผู้ป่วยใน จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวัน ต่อวันต่อการเข้าพักรักษาต่อครั้ง โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 150 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 2,000 บาท
- ค่าห้อง ICU โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 30 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับความคุ้มครองเป็น 2 เท่าเลยค่ะ จาก 2,000 บาท ก็เพิ่มเป็น 4,000 บาทเลยค่ะ แต่จะต้องนับรวมกับ ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวันแล้วไม่เกิน 150 วันนะคะ
- ค่ายากลับบ้านได้ไม่เกิน 7 วัน ซึ่งจะนับตั้งแต่วันที่ออกจากโรงพยาบาลค่ะ ซึ่งจะเบิกได้ครั้งละไม่เกิน 1,500 บาทต่อครั้ง
- ค่าแพทย์ตรวจรักษาในโรงพยาบาลต่อวัน โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 150 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 1,200 บาท
- ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกที่จะต้องมารักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องเบิกได้ไม่เกิน 1,000 บาทต่อครั้ง และสูงสุดไม่เกิน 2 ครั้งต่อการรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่งค่ะ
- ค่าธรรมเนียมรถพยาบาล และค่าบริการการช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่าตรวจวินิจฉัยทางรังสีวิทยาและการตรวจทางห้องปฏิบัติของผู้ป่วยนอก ได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ ในโรงพยาบาล เช่น ค่าแพทย์ตรวจรักษา ค่าแพทย์ผ่าตัดและหัตถการค่าธรรมเนียมวิสัญญีแพทย์ หรือวิสัญญีพยาบาล ค่าห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ในห้องผ่าตัด จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- กรณีที่รักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุภายใน 24 ชั่วโมง ขณะเป็นผู้ป่วยนอก จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 10,000 บาทต่อครั้ง
- กรณีรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยนอก ในกรณีที่จะต้องล้างไต หรือค่าเคมีบำบัด หรือค่ารังสีบำบัด จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 60,000 บาทต่อปี
- กรณีเสียชีวิต จะได้รับเงินช่วยเหลืออยู่ที่ 10,000 บาท
ทั้งนี้ เมื่อรวมผลประโยชน์ที่จะได้รับหากเลือกแผน 1 นั้น ในกรณีที่จะต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล และ กรณีที่รักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุภายใน 24 ชั่วโมง รวมสูงสุดต่อการเข้าพักรักษาตัวไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งรวมสูงต่อการเข้าพักรักษาตัวในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง จะได้รับความคุ้มครองไม่เกิน 1,000,000 บาท โดยรวมๆแล้วจากความคุ้มครองจะไม่เกิน 1,000,000 บาทต่อปีค่ะ
แผน 2 สิทธิประโยชน์ในการคุ้มครองที่ได้จะได้รับ
- กรณีที่จะต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล หรือที่เรียกว่าเป็นผู้ป่วยใน จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวัน ต่อวันต่อการเข้าพักรักษาต่อครั้ง โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 150 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 4,000 บาท
- ค่าห้อง ICU โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 30 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับความคุ้มครองเป็น 2 เท่าเลยค่ะ จาก 4,000 บาท ก็เพิ่มเป็น 8,000 บาทเลยค่ะ แต่จะต้องนับรวมกับ ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวันแล้วไม่เกิน 150 วันนะคะ
- ค่ายากลับบ้านได้ไม่เกิน 7 วัน ซึ่งจะนับตั้งแต่วันที่ออกจากโรงพยาบาลค่ะ ซึ่งจะเบิกได้ครั้งละไม่เกิน 2,000 บาทต่อครั้ง
- ค่าแพทย์ตรวจรักษาในโรงพยาบาลต่อวัน โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 150 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 2,400 บาท
- ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกที่จะต้องมารักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องเบิกได้ไม่เกิน 2,000 บาทต่อครั้ง และสูงสุดไม่เกิน 2 ครั้งต่อการรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่งค่ะ
- ค่าธรรมเนียมรถพยาบาล และค่าบริการการช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่าตรวจวินิจฉัยทางรังสีวิทยาและการตรวจทางห้องปฏิบัติของผู้ป่วยนอก ได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ ในโรงพยาบาล เช่น ค่าแพทย์ตรวจรักษา ค่าแพทย์ผ่าตัดและหัตถการค่าธรรมเนียมวิสัญญีแพทย์ หรือวิสัญญีพยาบาล ค่าห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ในห้องผ่าตัด จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- กรณีที่รักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุภายใน 24 ชั่วโมง ขณะเป็นผู้ป่วยนอก จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 15,000 บาทต่อครั้ง
- กรณีรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยนอก ในกรณีที่จะต้องล้างไต หรือค่าเคมีบำบัด หรือค่ารังสีบำบัด จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 90,000 บาทต่อปี
- กรณีเสียชีวิต จะได้รับเงินช่วยเหลืออยู่ที่ 10,000 บาท
ทั้งนี้ เมื่อรวมผลประโยชน์ที่จะได้รับหากเลือกแผน 2 นั้น ในกรณีที่จะต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล และ กรณีที่รักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุภายใน 24 ชั่วโมง รวมสูงสุดต่อการเข้าพักรักษาตัวไม่เกิน 1,000,000 บาท ซึ่งรวมสูงต่อการเข้าพักรักษาตัวในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง จะได้รับความคุ้มครองไม่เกิน 2,000,000 บาท โดยรวมๆแล้วจากความคุ้มครองจะไม่เกิน 2,000,000 บาทต่อปีค่ะ
แผน 3 สิทธิประโยชน์ในการคุ้มครองที่ได้จะได้รับ
- กรณีที่จะต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล หรือที่เรียกว่าเป็นผู้ป่วยใน จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวัน ต่อวันต่อการเข้าพักรักษาต่อครั้ง โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 150 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 6,000 บาท
- ค่าห้อง ICU โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 30 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับความคุ้มครองเป็น 2 เท่าเลยค่ะ จาก 6,000 บาท ก็เพิ่มเป็น 12,000 บาทเลยค่ะ แต่จะต้องนับรวมกับ ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวันแล้วไม่เกิน 150 วันนะคะ
- ค่ายากลับบ้านได้ไม่เกิน 7 วัน ซึ่งจะนับตั้งแต่วันที่ออกจากโรงพยาบาลค่ะ ซึ่งจะเบิกได้ครั้งละไม่เกิน 2,500 บาทต่อครั้ง
- ค่าแพทย์ตรวจรักษาในโรงพยาบาลต่อวัน โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 150 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 3,600 บาท
- ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกที่จะต้องมารักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องเบิกได้ไม่เกิน 3,000 บาทต่อครั้ง และสูงสุดไม่เกิน 2 ครั้งต่อการรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่งค่ะ
- ค่าธรรมเนียมรถพยาบาล และค่าบริการการช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่าตรวจวินิจฉัยทางรังสีวิทยาและการตรวจทางห้องปฏิบัติของผู้ป่วยนอก ได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ ในโรงพยาบาล เช่น ค่าแพทย์ตรวจรักษา ค่าแพทย์ผ่าตัดและหัตถการค่าธรรมเนียมวิสัญญีแพทย์ หรือวิสัญญีพยาบาล ค่าห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ในห้องผ่าตัด จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- กรณีที่รักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุภายใน 24 ชั่วโมง ขณะเป็นผู้ป่วยนอก จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 20,000 บาทต่อครั้ง
- กรณีรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยนอก ในกรณีที่จะต้องล้างไต หรือค่าเคมีบำบัด หรือค่ารังสีบำบัด จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 120,000 บาทต่อปี
- กรณีเสียชีวิต จะได้รับเงินช่วยเหลืออยู่ที่ 10,000 บาท
ทั้งนี้ เมื่อรวมผลประโยชน์ที่จะได้รับหากเลือกแผน 3 นั้น ในกรณีที่จะต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล และ กรณีที่รักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุภายใน 24 ชั่วโมง รวมสูงสุดต่อการเข้าพักรักษาตัวไม่เกิน 1,500,000 บาท ซึ่งรวมสูงต่อการเข้าพักรักษาตัวในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง จะได้รับความคุ้มครองไม่เกิน 3,000,000 บาท โดยรวมๆแล้วจากความคุ้มครองจะไม่เกิน 3,000,000 บาทต่อปีค่ะ
แผน 4 สิทธิประโยชน์ในการคุ้มครองที่ได้จะได้รับ
- กรณีที่จะต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล หรือที่เรียกว่าเป็นผู้ป่วยใน จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวัน ต่อวันต่อการเข้าพักรักษาต่อครั้ง โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 150 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 8,000 บาท
- ค่าห้อง ICU โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 30 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับความคุ้มครองเป็น 2 เท่าเลยค่ะ จาก 8,000 บาท ก็เพิ่มเป็น 16,000 บาทเลยค่ะ แต่จะต้องนับรวมกับ ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวันแล้วไม่เกิน 150 วันนะคะ
- ค่ายากลับบ้านได้ไม่เกิน 7 วัน ซึ่งจะนับตั้งแต่วันที่ออกจากโรงพยาบาลค่ะ ซึ่งจะเบิกได้ครั้งละไม่เกิน 3,000 บาทต่อครั้ง
- ค่าแพทย์ตรวจรักษาในโรงพยาบาลต่อวัน โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 150 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 4,800 บาท
- ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกที่จะต้องมารักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องเบิกได้ไม่เกิน 4,000 บาทต่อครั้ง และสูงสุดไม่เกิน 2 ครั้งต่อการรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่งค่ะ
- ค่าธรรมเนียมรถพยาบาล และค่าบริการการช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่าตรวจวินิจฉัยทางรังสีวิทยาและการตรวจทางห้องปฏิบัติของผู้ป่วยนอก ได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ ในโรงพยาบาล เช่น ค่าแพทย์ตรวจรักษา ค่าแพทย์ผ่าตัดและหัตถการค่าธรรมเนียมวิสัญญีแพทย์ หรือวิสัญญีพยาบาล ค่าห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ในห้องผ่าตัด จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- กรณีที่รักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุภายใน 24 ชั่วโมง ขณะเป็นผู้ป่วยนอก จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 25,000 บาทต่อครั้ง
- กรณีรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยนอก ในกรณีที่จะต้องล้างไต หรือค่าเคมีบำบัด หรือค่ารังสีบำบัด จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 150,000 บาทต่อปี
- กรณีเสียชีวิต จะได้รับเงินช่วยเหลืออยู่ที่ 10,000 บาท
ทั้งนี้ เมื่อรวมผลประโยชน์ที่จะได้รับหากเลือกแผน 3 นั้น ในกรณีที่จะต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล และ กรณีที่รักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุภายใน 24 ชั่วโมง รวมสูงสุดต่อการเข้าพักรักษาตัวไม่เกิน 2,000,000 บาท ซึ่งรวมสูงต่อการเข้าพักรักษาตัวในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง จะได้รับความคุ้มครองไม่เกิน 4,000,000 บาท โดยรวมๆแล้วจากความคุ้มครองจะไม่เกิน 4,000,000 บาทต่อปีค่ะ
แผน 5 สิทธิประโยชน์ในการคุ้มครองที่ได้จะได้รับ
- กรณีที่จะต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล หรือที่เรียกว่าเป็นผู้ป่วยใน จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวัน ต่อวันต่อการเข้าพักรักษาต่อครั้ง โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 150 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 10,000 บาท
- ค่าห้อง ICU โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 30 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับความคุ้มครองเป็น 2 เท่าเลยค่ะ จาก 10,000 บาท ก็เพิ่มเป็น 20,000 บาทเลยค่ะ แต่จะต้องนับรวมกับ ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวันแล้วไม่เกิน 150 วันนะคะ
- ค่ายากลับบ้านได้ไม่เกิน 7 วัน ซึ่งจะนับตั้งแต่วันที่ออกจากโรงพยาบาลค่ะ ซึ่งจะเบิกได้ครั้งละไม่เกิน 3,500 บาทต่อครั้ง
- ค่าแพทย์ตรวจรักษาในโรงพยาบาลต่อวัน โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 150 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 6,000 บาท
- ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกที่จะต้องมารักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องเบิกได้ไม่เกิน 5,000 บาทต่อครั้ง และสูงสุดไม่เกิน 2 ครั้งต่อการรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่งค่ะ
- ค่าธรรมเนียมรถพยาบาล และค่าบริการการช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่าตรวจวินิจฉัยทางรังสีวิทยาและการตรวจทางห้องปฏิบัติของผู้ป่วยนอก ได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ ในโรงพยาบาล เช่น ค่าแพทย์ตรวจรักษา ค่าแพทย์ผ่าตัดและหัตถการค่าธรรมเนียมวิสัญญีแพทย์ หรือวิสัญญีพยาบาล ค่าห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ในห้องผ่าตัด จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- กรณีที่รักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุภายใน 24 ชั่วโมง ขณะเป็นผู้ป่วยนอก จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 30,000 บาทต่อครั้ง
- กรณีรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยนอก ในกรณีที่จะต้องล้างไต หรือค่าเคมีบำบัด หรือค่ารังสีบำบัด จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 180,000 บาทต่อปี
- กรณีเสียชีวิต จะได้รับเงินช่วยเหลืออยู่ที่ 10,000 บาท
ทั้งนี้ เมื่อรวมผลประโยชน์ที่จะได้รับหากเลือกแผน 3 นั้น ในกรณีที่จะต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล และ กรณีที่รักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุภายใน 24 ชั่วโมง รวมสูงสุดต่อการเข้าพักรักษาตัวไม่เกิน 2,500,000 บาท ซึ่งรวมสูงต่อการเข้าพักรักษาตัวในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง จะได้รับความคุ้มครองไม่เกิน 5,000,000 บาท โดยรวมๆแล้วจากความคุ้มครองจะไม่เกิน 5,000,000 บาทต่อปีค่ะ
เงื่อนไขการสมัครประกันสุขภาพสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ แบบ สมาร์ทเฮลท์
- ผู้สมัครจะต้องมีอายุตั้งแต่ 1 เดือน – 70 ปี
- ระยะเวลาเอาประกันภัย 1 ปี
- ระยะเวลาจ่ายเบี้ยประกันภัย 1 ปี สามารถต่ออายุการรับประกันได้สูงถึงอายุ 85 ปี
- คุณสามารถจ่ายเบี้ยประกันภัยได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรายเดือน ราย 3 เดือน ราย 6 เดือน หรือรายปีค่ะ
Credit : https://pixabay.com
ประกันสุขภาพเมืองไทย โครงการเมืองไทย อุ่นใจ 3 คุ้ม
โครงการเมืองไทย อุ่นใจ 3 คุ้ม ประกันสุขภาพสุดคุ้ม กับ 3 คุ้มครอง ทั้งคุ้มครองชีวิต คุ้มครองอุบัติเหตุ และได้รับเงินชดเชยรายได้ในกรณีที่นอนที่โรงพยาบาล สัมครก็ง่ายมากเลยค่ะ ไม่ต้องตรวจสุขภาพเหมือนกับประกันสุขภาพอื่นๆที่จะต้องตรวจสุขภาพค่ะ ที่สำคัญเลยค่ะ จ่ายเบี้ยประกันคงที่ ไม่เพิ่มตามอายุนะคะ และยังสามารถนำเบี้ยประกันภัยที่จ่ายไปเป็นส่วนลดหย่อนภาษีเงินได้อีกด้วยค่ะ
จุดเด่น
- คุ้มครองในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ
- ได้รับเงินชดเชยในกรณีที่นอนโรงพยาบาล
- สามารถนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีเงินได้
สิทธิประโยชน์และความคุ้มครองที่จะได้รับนั้นจะแบ่งไปตามแผนที่คุณเลือกค่ะ โดยประกันสุขภาพโครงการเมืองไทย อุ่นใจ 3 คุ้ม นี้มีให้เลือกถึง 5 แผนเลยค่ะ และแน่นอนค่ะว่าแต่ละแผนนั้นจะมีความคุ้มครองด้วยวงเงินที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับการจ่ายเบี้ยประกันค่ะ เลือกแผนที่คุ้มครองสูง เบี้ยประกันภัยก็สูงขึ้นตามไปด้วยค่ะ งั้นมาดูกันดีกว่าค่ะว่าแผนไหนที่น่าสนใจกันบ้าง และเหมาะกับตัวคุณมากที่สุดค่ะ
แผน 1 จะได้รับความคุ้มครองดังนี้ค่ะ
- กรณีเสียชีวิตจะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 100,000 บาท
- เงินชดเชยรายวัน เมื่อพักรักษาตัวในโรงพยาบาลวันละ 1,000 บาท แต่ถ้านอนพักรักษาตัวที่ห้องฉุกเฉิน ICU หรือเป็นโรงพยาบาลที่ต่างประเทศ จะได้รับเงินเพิ่มเป็น 2 เท่าค่ะ
- กรณีที่เกิดอุบัติเหตุที่ไม่ได้เกิดจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์นะคะ ก็จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- กรณีที่เสียชีวิต หรือ ทุพพลภาพถาวร หรือ สูญเสียอวัยวะ ตา การรับฟังเสียง การพูดออกเสียง ไม่ว่าจากการถูกฆาตกรรม หรือ ถูกทำร้ายร่างกาย จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 400,000 บาทค่ะและถ้าเกิดจากอุบัติเหตุสาธารณะ จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 800,000 บาทค่ะ
- จะได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุครั้งละไม่เกิน 15,000 บาทค่ะ
- กรณีที่เกิดอุบัติเหตุที่เกิดจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์นะคะ ก็จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- กรณีที่เสียชีวิต หรือ ทุพพลภาพถาวร หรือ สูญเสียอวัยวะ ตา การรับฟังเสียง การพูดออกเสียง ไม่ว่าจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 200,000 บาทค่ะ
- จะได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุครั้งละไม่เกิน 15,000 บาทค่ะ
แผน 2 จะได้รับความคุ้มครองดังนี้ค่ะ
- กรณีเสียชีวิตจะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 100,000 บาท
- เงินชดเชยรายวัน เมื่อพักรักษาตัวในโรงพยาบาลวันละ 2,000 บาท แต่ถ้านอนพักรักษาตัวที่ห้องฉุกเฉิน ICU หรือเป็นโรงพยาบาลที่ต่างประเทศ จะได้รับเงินเพิ่มเป็น 2 เท่าค่ะ
- กรณีที่เกิดอุบัติเหตุที่ไม่ได้เกิดจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์นะคะ ก็จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- กรณีที่เสียชีวิต หรือ ทุพพลภาพถาวร หรือ สูญเสียอวัยวะ ตา การรับฟังเสียง การพูดออกเสียง ไม่ว่าจากการถูกฆาตกรรม หรือ ถูกทำร้ายร่างกาย จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 500,000 บาทค่ะและถ้าเกิดจากอุบัติเหตุสาธารณะ จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 1,000,000 บาทค่ะ
- จะได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุครั้งละไม่เกิน 20,000 บาทค่ะ
- กรณีที่เกิดอุบัติเหตุที่เกิดจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์นะคะ ก็จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- กรณีที่เสียชีวิต หรือ ทุพพลภาพถาวร หรือ สูญเสียอวัยวะ ตา การรับฟังเสียง การพูดออกเสียง ไม่ว่าจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 250,000 บาทค่ะ
- จะได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุครั้งละไม่เกิน 20,000 บาทค่ะ
แผน 3 จะได้รับความคุ้มครองดังนี้ค่ะ
- กรณีเสียชีวิตจะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 100,000 บาท
- เงินชดเชยรายวัน เมื่อพักรักษาตัวในโรงพยาบาลวันละ 3,000 บาท แต่ถ้านอนพักรักษาตัวที่ห้องฉุกเฉิน ICU หรือเป็นโรงพยาบาลที่ต่างประเทศ จะได้รับเงินเพิ่มเป็น 2 เท่าค่ะ
- กรณีที่เกิดอุบัติเหตุที่ไม่ได้เกิดจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์นะคะ ก็จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- กรณีที่เสียชีวิต หรือ ทุพพลภาพถาวร หรือ สูญเสียอวัยวะ ตา การรับฟังเสียง การพูดออกเสียง ไม่ว่าจากการถูกฆาตกรรม หรือ ถูกทำร้ายร่างกาย จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 1,000,000 บาทค่ะและถ้าเกิดจากอุบัติเหตุสาธารณะ จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 2,000,000 บาทค่ะ
- จะได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุครั้งละไม่เกิน 30,000 บาทค่ะ
- กรณีที่เกิดอุบัติเหตุที่เกิดจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์นะคะ ก็จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- กรณีที่เสียชีวิต หรือ ทุพพลภาพถาวร หรือ สูญเสียอวัยวะ ตา การรับฟังเสียง การพูดออกเสียง ไม่ว่าจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 500,000 บาทค่ะ
- จะได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุครั้งละไม่เกิน 30,000 บาทค่ะ
แผน 4 จะได้รับความคุ้มครองดังนี้ค่ะ
- กรณีเสียชีวิตจะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 100,000 บาท
- เงินชดเชยรายวัน เมื่อพักรักษาตัวในโรงพยาบาลวันละ 4,000 บาท แต่ถ้านอนพักรักษาตัวที่ห้องฉุกเฉิน ICU หรือเป็นโรงพยาบาลที่ต่างประเทศ จะได้รับเงินเพิ่มเป็น 2 เท่าค่ะ
- กรณีที่เกิดอุบัติเหตุที่ไม่ได้เกิดจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์นะคะ ก็จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- กรณีที่เสียชีวิต หรือ ทุพพลภาพถาวร หรือ สูญเสียอวัยวะ ตา การรับฟังเสียง การพูดออกเสียง ไม่ว่าจากการถูกฆาตกรรม หรือ ถูกทำร้ายร่างกาย จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 1,200,000 บาทค่ะและถ้าเกิดจากอุบัติเหตุสาธารณะ จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 2,400,000 บาทค่ะ
- จะได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุครั้งละไม่เกิน 40,000 บาทค่ะ
- กรณีที่เกิดอุบัติเหตุที่เกิดจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์นะคะ ก็จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- กรณีที่เสียชีวิต หรือ ทุพพลภาพถาวร หรือ สูญเสียอวัยวะ ตา การรับฟังเสียง การพูดออกเสียง ไม่ว่าจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 600,000 บาทค่ะ
- จะได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุครั้งละไม่เกิน 40,000 บาทค่ะ
แผน 5 จะได้รับความคุ้มครองดังนี้ค่ะ
- กรณีเสียชีวิตจะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 100,000 บาท
- เงินชดเชยรายวัน เมื่อพักรักษาตัวในโรงพยาบาลวันละ 5,000 บาท แต่ถ้านอนพักรักษาตัวที่ห้องฉุกเฉิน ICU หรือเป็นโรงพยาบาลที่ต่างประเทศ จะได้รับเงินเพิ่มเป็น 2 เท่าค่ะ
- กรณีที่เกิดอุบัติเหตุที่ไม่ได้เกิดจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์นะคะ ก็จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- กรณีที่เสียชีวิต หรือ ทุพพลภาพถาวร หรือ สูญเสียอวัยวะ ตา การรับฟังเสียง การพูดออกเสียง ไม่ว่าจากการถูกฆาตกรรม หรือ ถูกทำร้ายร่างกาย จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 1,500,000 บาทค่ะและถ้าเกิดจากอุบัติเหตุสาธารณะ จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 3,000,000 บาทค่ะ
- จะได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุครั้งละไม่เกิน 50,000 บาทค่ะ
- กรณีที่เกิดอุบัติเหตุที่เกิดจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์นะคะ ก็จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ค่ะ
- กรณีที่เสียชีวิต หรือ ทุพพลภาพถาวร หรือ สูญเสียอวัยวะ ตา การรับฟังเสียง การพูดออกเสียง ไม่ว่าจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 750,000 บาทค่ะ
- จะได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุครั้งละไม่เกิน 50,000 บาทค่ะ
เงื่อนไขการสมัครประกันสุขภาพโครงการเมืองไทย อุ่นใจ 3 คุ้ม
- ผู้สมัครจะต้องมีอายุตั้งแต่ 16 – 55 ปี
- ระยะเวลาเอาประกันภัย 10 ปี
- ระยะเวลาจ่ายเบี้ยประกันภัย 10 ปี
- คุณสามารถจ่ายเบี้ยประกันภัยได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรายเดือน ราย 3 เดือน ราย 6 เดือน หรือรายปีค่ะ
Credit : https://pixabay.com
ประกันสุขภาพเมืองไทยประกันชีวิต สัญญาเพิ่มเติม การประกันภัยสุขภาพแบบ เอ็กซ์ตร้า แคร์
สัญญาเพิ่มเติม การประกันภัยสุขภาพแบบ เอ็กซ์ตร้า แคร์ ประกันสุขภาพที่จะมาช่วยเสริมสำหรับคนที่มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลอยู่แล้ว เช่น ข้าราชการ ที่ใช้สิทธิค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ หรือจะเป็นพนักงานเอกชน ที่มีสิทธิ์การรักษาพยาบาลจากประกันสังคมอยู่แล้ว แต่เมื่อไรที่เจ็บป่วยเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ อาจจะไม่เพียงพอ ก็สามารถสมัครทำการประกันภัยสุขภาพแบบ เอ็กซ์ตร้า แคร์ นี้ได้เลยค่ะ จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายส่วนต่างให้กับคุณได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ
จุดเด่น
- คุ้มครองในการรักษาพยาบาลสูงสุดถึง 400,000 บาท
- จ่ายเพิ่มค่าห้อง ค่าอาหาร และค่าบริการต่างๆ ให้สูงสุดถึง 6,000 บาทต่อวัน
- ช่วยจ่ายเงินส่วนเกินให้ในกรณีที่สิทธิการรักษาเดิมไม่เพียงพอ
- ประกันสุขภาพแบบปีต่อปี สามารถต่ออายุได้จนถึงอายุ 80 ปี
สิทธิประโยชน์ในการคุ้มครองที่จะได้รับ คุณสามารถเลือกเองได้เลยว่าจะเลือกซื้อแผนไหน มีให้เลือกถึง 5 แผน เรามาดูกันเลยค่ะว่าแผนไหนที่น่าสนใจ และน่าจะเลือกทำมากที่สุดค่ะ
แผน 1 จะได้รับความคุ้มครองสูงสุดถึง 200,000 บาท
- ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวัน ต่อวันต่อการเข้าพักรักษาต่อครั้ง โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 120 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 1,000 บาท
- ค่ารักษาพยาบาลในส่วนอื่นๆ คุณจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนแรกเอง 20,000 บาท โดยส่วนที่เหลือประกันภัยสุขภาพแบบ เอ็กซ์ตร้า แคร์ จะจ่ายให้ 80% สำหรับการรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่งค่ะ
แผน 2 จะได้รับความคุ้มครองสูงสุดถึง 300,000 บาท
- ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวัน ต่อวันต่อการเข้าพักรักษาต่อครั้ง โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 120 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 1,500 บาท
- ค่ารักษาพยาบาลในส่วนอื่นๆ คุณจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนแรกเอง 30,000 บาท โดยส่วนที่เหลือประกันภัยสุขภาพแบบ เอ็กซ์ตร้า แคร์ จะจ่ายให้ 80% สำหรับการรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่งค่ะ
แผน 3 จะได้รับความคุ้มครองสูงสุดถึง 400,000 บาท
- ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวัน ต่อวันต่อการเข้าพักรักษาต่อครั้ง โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 120 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 2,000 บาท
- ค่ารักษาพยาบาลในส่วนอื่นๆ คุณจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนแรกเอง 40,000 บาท โดยส่วนที่เหลือประกันภัยสุขภาพแบบ เอ็กซ์ตร้า แคร์ จะจ่ายให้ 80% สำหรับการรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่งค่ะ
แผน 4 จะได้รับความคุ้มครองสูงสุดถึง 400,000 บาท
- ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวัน ต่อวันต่อการเข้าพักรักษาต่อครั้ง โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 120 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 4,000 บาท
- ค่ารักษาพยาบาลในส่วนอื่นๆ คุณจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนแรกเอง 40,000 บาท โดยส่วนที่เหลือประกันภัยสุขภาพแบบ เอ็กซ์ตร้า แคร์ จะจ่ายให้ 80% สำหรับการรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่งค่ะ
แผน 5 จะได้รับความคุ้มครองสูงสุดถึง 400,000 บาท
- ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวัน ต่อวันต่อการเข้าพักรักษาต่อครั้ง โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 120 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 6,000 บาท
- ค่ารักษาพยาบาลในส่วนอื่นๆ คุณจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนแรกเอง 40,000 บาท โดยส่วนที่เหลือประกันภัยสุขภาพแบบ เอ็กซ์ตร้า แคร์ จะจ่ายให้ 80% สำหรับการรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่งค่ะ
เงื่อนไขการสมัครประกันสุขภาพสัญญาเพิ่มเติม การประกันภัยสุขภาพแบบ เอ็กซ์ตร้า แคร์
- ผู้สมัครจะต้องมีอายุตั้งแต่ 1 เดือน – 70 ปี
- ระยะเวลาเอาประกันภัย 1 ปี
- ระยะเวลาจ่ายเบี้ยประกันภัย 1 ปี สามารถต่ออายุได้จนถึงอายุ 80 ปี
- คุณสามารถจ่ายเบี้ยประกันภัยได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรายเดือน ราย 3 เดือน ราย 6 เดือน หรือรายปีค่ะ
Credit : https://pixabay.com
เมืองไทยประกันสุขภาพ สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ วงเงินแน่นอน
สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ วงเงินแน่นอน ประกันสุขภาพที่จ่ายเบี้ยประกันภัยคงที่ ไม่เพิ่มตามอายุ และให้ความคุ้มครองไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วย ประกันสุขภาพนี้ก็คุ้มครองจ่ายให้ค่ะ สามารถเริ่มสมัครได้ตั้งแต่อายุ 6 ปีเลยค่ะ ยิ่งสมัครตอนอายุยังน้อย เบี้ยประกันภัยก็ยิ่งถูกค่ะ
จุดเด่น
- เบี้ยประกันภัยคงที่ตลอดอายุสัญญา
- ได้รับเงินชดเชยรายวันในกรณีที่นอนโรงพยาบาล
- เจ็บป่วย หรือ ได้รับบาดเจ็บ ประกันก็คุ้มครอง
สิทธิประโยชน์ในการคุ้มครองที่จะได้รับ ซึ่งจะมีแผนความคุ้มครองให้คุณได้เลือก 4 แผนค่ะ แต่ละแผนก็จะได้รับเงินคุ้มครองที่ต่างกัน และจ่ายเบี้ยประกันก็ไม่เท่ากันด้วยค่ะ
แผน 1 (500)
- กรณีที่นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลจะได้รับเงินชดเชยรายวัน วันละ 500 บาท แต่จะเบิกได้ไม่เกิน 365 วันค่ะ
- กรณีที่รักษาตัวที่ห้อง ICU หรือ รักษาตัวที่โรงพยาบาลต่างประเทศ จะได้รับเงินชดเชยรายวัน วันละ 1,000 บาท แต่จะเบิกได้ไม่เกิน 30 วันค่ะ
- กรณีที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลและได้ทำการศัลยกรรม ซึ่งมีความจำเป็นจะต้องนอนพักที่โรงพยาบาล จะได้รับเงินชดเชยรายวัน วันละ 750 บาท แต่จะเบิกได้ไม่เกิน 30 วันค่ะ
แผน 2 (1,000)
- กรณีที่นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลจะได้รับเงินชดเชยรายวัน วันละ 1,000 บาท แต่จะเบิกได้ไม่เกิน 365 วันค่ะ
- กรณีที่รักษาตัวที่ห้อง ICU หรือ รักษาตัวที่โรงพยาบาลต่างประเทศ จะได้รับเงินชดเชยรายวัน วันละ 2,000 บาท แต่จะเบิกได้ไม่เกิน 30 วันค่ะ
- กรณีที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลและได้ทำการศัลยกรรม ซึ่งมีความจำเป็นจะต้องนอนพักที่โรงพยาบาล จะได้รับเงินชดเชยรายวัน วันละ 1,500 บาท แต่จะเบิกได้ไม่เกิน 30 วันค่ะ
แผน 3 (3,000)
- กรณีที่นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลจะได้รับเงินชดเชยรายวัน วันละ 3,000 บาท แต่จะเบิกได้ไม่เกิน 365 วันค่ะ
- กรณีที่รักษาตัวที่ห้อง ICU หรือ รักษาตัวที่โรงพยาบาลต่างประเทศ จะได้รับเงินชดเชยรายวัน วันละ 6,000 บาท แต่จะเบิกได้ไม่เกิน 30 วันค่ะ
- กรณีที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลและได้ทำการศัลยกรรม ซึ่งมีความจำเป็นจะต้องนอนพักที่โรงพยาบาล จะได้รับเงินชดเชยรายวัน วันละ 4,500 บาท แต่จะเบิกได้ไม่เกิน 30 วันค่ะ
แผน 4 (6,000)
- กรณีที่นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลจะได้รับเงินชดเชยรายวัน วันละ 6,000 บาท แต่จะเบิกได้ไม่เกิน 365 วันค่ะ
- กรณีที่รักษาตัวที่ห้อง ICU หรือ รักษาตัวที่โรงพยาบาลต่างประเทศ จะได้รับเงินชดเชยรายวัน วันละ 12,000 บาท แต่จะเบิกได้ไม่เกิน 30 วันค่ะ
- กรณีที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลและได้ทำการศัลยกรรม ซึ่งมีความจำเป็นจะต้องนอนพักที่โรงพยาบาล จะได้รับเงินชดเชยรายวัน วันละ 9,000 บาท แต่จะเบิกได้ไม่เกิน 30 วันค่ะ
คราวนี้เรามาดูเรื่องการเบี้ยประกันภัยกันบ้างค่ะว่าจะต้องจ่ายกันเท่าไรกันบ้าง เนื่องจากการจ่ายเบี้ยประกันภัยนั้นจะขึ้นอยู่อายุ ประกอบกับว่าคุณเลือกแผนไหนด้วยค่ะ เรามาดูกันเลยค่ะ
- สำหรับอายุตั้งแต่ 6 – 15 ปี
- เลือกแผน 1 (500) จ่ายเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 400 บาทต่อปี
- เลือกแผน 2 (1,000) จ่ายเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 800 บาทต่อปี
- สำหรับอายุตั้งแต่ 16 – 35 ปี
- เลือกแผน 1 (500) จ่ายเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 800 บาทต่อปี
- เลือกแผน 2 (1,000) จ่ายเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 1,600 บาทต่อปี
- เลือกแผน 3 (3,000) จ่ายเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 4,800 บาทต่อปี
- เลือกแผน 4 (6,000) จ่ายเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 9,600 บาทต่อปี
- สำหรับอายุตั้งแต่ 36 – 45 ปี
- เลือกแผน 1 (500) จ่ายเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 900 บาทต่อปี
- เลือกแผน 2 (1,000) จ่ายเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 1,800 บาทต่อปี
- เลือกแผน 3 (3,000) จ่ายเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 5,400 บาทต่อปี
- เลือกแผน 4 (6,000) จ่ายเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 10,800 บาทต่อปี
- สำหรับอายุตั้งแต่ 46 – 59 ปี
- เลือกแผน 1 (500) จ่ายเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 1,050 บาทต่อปี
- เลือกแผน 2 (1,000) จ่ายเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 2,100 บาทต่อปี
- เลือกแผน 3 (3,000) จ่ายเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 6,300 บาทต่อปี
- เลือกแผน 4 (6,000) จ่ายเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 12,600 บาทต่อปี
- สำหรับอายุตั้งแต่ 60 – 64 ปี
- เลือกแผน 1 (500) จ่ายเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 1,050 บาทต่อปี
- เลือกแผน 2 (1,000) จ่ายเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 2,100 บาทต่อปี
- เลือกแผน 3 (3,000) จ่ายเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 6,300 บาทต่อปี
เงื่อนไขการสมัครประกันสุขภาพสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ วงเงินแน่นอน
- ผู้สมัครจะต้องมีอายุตั้งแต่ 6 – 64 ปี
- ระยะเวลาจ่ายเบี้ยประกันภัยจนถึงอายุ 64 ปี ให้ความคุ้มครองจนถึงอายุ 65 ปี
- คุณสามารถจ่ายเบี้ยประกันภัยได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรายเดือน ราย 3 เดือน ราย 6 เดือน หรือรายปีค่ะ
Credit : https://pixabay.com
ประกันสุขภาพเหมาจ่ายเมืองไทยประกันชีวิต สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบเหมาจ่าย
สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบเหมาจ่าย ประกันสุขภาพที่ช่วยให้คุณหมดห่วง ไร้กังวล เรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล หรือเจ็บป่วยฉุกเฉินต้องเข้าห้อง ICU ก็อุ่นใจได้เลยค่ะ เพราะประกันภัยสุขภาพแบบเหมาจ่ายนี้คุ้มครองให้ด้วยค่ะ
จุดเด่น
- เจ็บป่วย หรือ ได้รับบาดเจ็บ ประกันก็คุ้มครอง
- รักษาตัวที่ห้อง ICU ประกันก็ดูแล
- ผ่าตัด ประกันสุขภาพก็คุ้มครอง
สำหรับประกันภัยสุขภาพแบบเหมาจ่ายนี้ จะมีแผนให้เลือกด้วยกันอยู่ 2 แผนค่ะ โดยมีสิทธิประโยชน์ในการคุ้มครองที่เหมือนกันค่ะ แต่ให้วงเงินที่ไม่เท่ากันค่ะ
แผน 1 โดยจะได้รับความคุ้มครองในการรักษาพยาบาลครั้งละ 50,000 บาท รวมกันแล้วจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 250,000 บาทค่ะ
- ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวัน ต่อวันต่อการเข้าพักรักษาต่อครั้ง โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 365 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 2,000 บาท
- ค่าห้อง ICU โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 365 วันค่ะ แต่จะต้องนับรวมกับ ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวันด้วยค่ะ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ ในโรงพยาบาล เช่น ค่าแพทย์ตรวจรักษา ค่าแพทย์ผ่าตัดและหัตถการค่าธรรมเนียมวิสัญญีแพทย์ หรือวิสัญญีพยาบาล ค่าห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ในห้องผ่าตัด จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
แผน 2 โดยจะได้รับความคุ้มครองในการรักษาพยาบาลครั้งละ 75,000 บาท รวมกันแล้วจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 375,000 บาทค่ะ
- ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวัน ต่อวันต่อการเข้าพักรักษาต่อครั้ง โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 365 วันค่ะ ซึ่งจะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 3,000 บาท
- ค่าห้อง ICU โดยจะเบิกได้สูงสุดไม่เกิน 365 วันค่ะ แต่จะต้องนับรวมกับ ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลประจำวันด้วยค่ะ จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
- ค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ ในโรงพยาบาล เช่น ค่าแพทย์ตรวจรักษา ค่าแพทย์ผ่าตัดและหัตถการค่าธรรมเนียมวิสัญญีแพทย์ หรือวิสัญญีพยาบาล ค่าห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ในห้องผ่าตัด จะได้รับความคุ้มครองตามยอดเงินที่จ่ายจริงค่ะ
เงื่อนไขการสมัครประกันสุขภาพสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบเหมาจ่าย
- ผู้สมัครจะต้องมีอายุตั้งแต่ 6 – 64 ปี
- ระยะเวลาจ่ายเบี้ยประกันภัยจนถึงอายุ 64 ปี ให้ความคุ้มครองจนถึงอายุ 65 ปี
- คุณสามารถจ่ายเบี้ยประกันภัยได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรายเดือน ราย 3 เดือน ราย 6 เดือน หรือรายปีค่ะ
หากเพื่อนๆสนใจสมัครทำประกันสุขภาพ เมืองไทยประกันชีวิต หรือจะต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถโทรได้ที่ Call Center 1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมงได้เลยค่ะ
หากมองในแง่ดีแล้วการที่มีประกันสุขภาพไว้ก็จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจให้กับตัวเราเองได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ ไม่ว่าจะเจ็บป่วยเล็กน้อย หรือจะเป็นโรคร้ายแรง ก็คุ้มครองค่ะ ซึ่งจริงๆแล้วเราเชื่อว่าทุกคนมีสวัสดิการในการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานที่รัฐบาลได้ให้แล้วค่ะ แต่ในบางครั้งมันอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ บางคนอยากได้ห้องพักพิเศษ จะต้องผ่าตัดใหญ่ ป่วยเป็นโรคร้ายแรง ถามว่าใช้สิทธิตรงนั้นได้หรือไม่ เพื่อนๆก็สามารถใช้สิทธิที่มีได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นบัตรทอง หรือสิทธิประกันสังคม หรือสิทธิค่ารักษาพยาบาลข้าราชการค่ะ แต่การมีประกันสุขภาพจะดีอย่างไรนั้น เพื่อนๆสามารถเข้ามาหาคำตอบได้ที่เว็บไซต์ imoney.in.th ได้เลยค่ะ แล้วเพื่อนๆจะรู้ว่าควรจะมีประกันสุขภาพหรือไม่ แล้วมีไปทำไม ใครได้ประโยชน์ถ้าไม่ใช่เพื่อนๆกับคนที่เพื่อนๆรัก ในบางครั้งเงินที่เราจ่ายไปกับการทำประกันสุขภาพอาจจะไม่เห็นผลในขณะที่มีชีวิตอยู่ แต่เมื่อไรที่เราเจ็บป่วย หรือเสียชีวิต ตอนนั้นล่ะค่ะที่จะเห็นประโยชน์จากการเลือกทำประกันสุขภาพ หรือประกันภัยด้านอื่นๆค่ะ สุดท้ายนี้ฝากเพื่อนๆช่วยกันกด Like กด share กันเยอะๆนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวกับประกันสุขภาพ เมืองไทย ประกันชีวิต www.muangthai.co.th