ประกันสุขภาพออมทรัพย์ – ปัจจุบันการออมเงินนั้นมีหลากหลายวิธี หลากหลายรูปแบบ ไม่ใช่มีแค่เพียงการฝากเงินกับธนาคารเพื่อเท่านั้น เมื่อยุคสมัยเริ่มเปลี่ยนแปลงก็เริ่มช่องทางการออมเงินที่ทำให้เกิดดอกเกิดผลมากขึ้น และการออมเงินเดี๋ยวนี้ก็เหมือนกับการลงทุน และการทำประกันชีวิตเพื่อการออมเงินก็ถือเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่หลายคนเลือกใช้วิธีนี้ เพราะนอกจากจะมีเงินออมไว้ใช้แล้ว ยังให้ความคุ้มครองชีวิต และเบี้ยประกันภัยที่จ่ายไปยังสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้อีก นอกจากประกันชีวิตแล้วที่สามารถออมเงินได้ ก็ยังมีอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่สามารถออมทรัพย์ได้ก็คือการทำประกันสุขภาพ ก็สามารถออมเงินได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งการออมเงินทางอ้อมก็คือเงินที่ใช้ในการรักษาพยาบาลนั้นก็ให้เป็นหน้าที่ของประกันสุขภาพดูแลไป ส่วนเราก็เก็บเงิน เพราะเงินที่หามาจะได้ไม่ต้องไปหมดกับค่ารักษาพยาบาล ส่วนการออมเงินทางตรงนั้นก็คือ การทำประกันสุขภาพเพื่อออมเงินนั้นส่วนใหญ่จะออมในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ค่อยนานเท่าไร อย่างเช่น 5 ปี หรือ 10 ปี บ้าง และเมื่อในระหว่างการออมเงินนั้นก็อาจจะได้รับเงินปันผลคืนบ้าง และเมื่อครบสัญญาก็จะได้รับเงินก้อนคืนพร้อมกับผลประโยชน์อื่นๆ ไม่เพียงเท่านั้น ในระหว่างที่เราออมเงินไปพร้อมกับประกันสุขภาพนั้น ยังคงทำหน้าที่ให้ความคุ้มครองชีวิตและค่ารักษาพยาบาลรวมถึงคุ้มครองโรคร้าย ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแต่ละประกันสุขภาพ และวันนี้ iMoney จะมาแนะนำประกันสุขภาพออมทรัพย์มาฝากกัน เผื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการออมเงินให้กับคุณ จะมีอะไรบ้าง และคุ้มค่าหรือไม่นั้น มาดูรายละเอียดกันเลยค่ะ
รวมประกันสุขภาพต่ออมทรัพย์ที่น่าสนใจจากบริษัทประกันภัย 2563
บริษัทประกันสุขภาพ |
ผลิตภัณฑ์ | จุดเด่น | เงื่อนไขในการสมัคร |
กรุงไทย – แอกซ่า ประกันชีวิต | ประกันออมทรัพย์ iPlus | คุ้มครองชีวิตกรณีเจ็บป่วย หรือ 5 โรคร้ายแรง หรืออุบัติเหตุ พร้อมรับเงินคืนทุกสิ้นปีกรมธรรม์ และยังมีผลปันเพิ่มอีกเมื่อครบสัญญา |
จ่ายเบี้ยประกันภัย 6 ปี โดยจะให้ความคุ้มครอง 10 ปี |
กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต |
ประกันสุขภาพแบบมีเงินออม สมาร์เซฟเวอร์ | จ่ายเบี้ยคงที่ตลอด 20 ปีที่คุ้มครอง ระหว่างคุ้มครองจะได้รับเงินปันผล ครบสัญญาก็รับเงินก้อน และยังคุ้มครอง 12 โรคร้ายแรง |
สมัครทำประกันสุขภาพได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ |
Credit : https://pixabay.com
ประกันออมทรัพย์ iPlus จากกรุงไทย – แอกซ่า ประกันชีวิต
ประกันออมทรัพย์ iPlus ที่เป็นประกันสุขภาพที่คุ้มครองให้มากกว่าการคุ้มครองกรณีที่เจ็บป่วยด้วยโรคทั่วไป และยังเพิ่มเติมด้วยความคุ้มครองกรณีที่เจ็บป่วยด้วย 5 โรคร้ายแรง ที่ยังคงมาพร้อมกับการออมเงินในตัว ที่จะให้คุณสามารถเริ่มวางแผนการออมเงินได้ด้วยผลตอบแทนที่คุ้มค่า โดยจะเป็นการคุ้มครองในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆอยู่ที่ 10 ปี แต่ให้คุณจ่ายเบี้ยประกันภัยเพียงแค่ 6 ปีเท่านั้น และในช่วง 10 ปีที่คุ้มครองนั้นก็ยังจะได้รับเงินคืนทุกๆสิ้นปีอีกด้วย และในระหว่างการคุ้มครองนั้นก็คุ้มครองชีวิตหากเสียชีวิตหรือเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง หรือกรณีที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ คนที่อยู่ข้างหลังก็ยังคงได้รับผลประโยชน์อีกด้วย
จุดเด่นของประกันออมทรัพย์ iPlus
- ออมเงินระยะสั้นเพียงแค่ 10 ปี
- รับเงินคืนสูงสุด 4% ทุกสิ้นปีกรมธรรม์
- ครบสัญญาหรือเสียชีวิตก็ได้รับความคุ้มครอง
- คุ้มครองชีวิตและกรณีเจ็บป่วยด้วย 5 โรคร้ายแรง
- รับผลประโยชน์รวมสูงสุด 191% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
ผลตอบแทนการออมทรัพย์จากประกันออมทรัพย์ iPlus
- เมื่อสิ้นปีกรมธรรม์ที่ 1 – ปีที่ 3 จะได้รับเงินคืน 2% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
- เมื่อสิ้นปีกรมธรรม์ที่ 4 – ปีที่ 6 จะได้รับเงินคืน 3% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
- เมื่อสิ้นปีกรมธรรม์ที่ 7 – ปีที่ 10 จะได้รับเงินคืน 4% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
- เมื่อครบสัญญาปีที่ 10 ก็จะได้รับก้อนเพิ่มอีก 160% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
- รวมผลประโยชน์ที่ได้รับทั้งหมดจากการทำประกันออมทรัพย์นี้ก็จะอยู่ที่ 191% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
ผลประโยชน์และความคุ้มครองที่ได้รับจากประกันออมทรัพย์ iPlus
- คุ้มครองชีวิตในกรณีที่เสียชีวิตด้วยโรคทั่วไป จะได้รับวงเงินคุ้มครอง 100,000 – 1,000,000 บาท (ตามแผนคุ้มครอง)
- คุ้มครองชีวิตกรณีที่เสียชีวิตจากการเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง 5 โรค ได้แก่ โรคมะเร็งระยะลุกลาม หรือโรคตับวาย หรือโรคหลอดลมปอดอุดกั้นเรื้อรังขั้นรุนแรง/ โรคปอดระยะสุดทาย หรือโรคกลามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือด หรือโรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน จะได้รับเงินก้อนอยู่ที่ 50,000 – 500,000 บาท (ตามแผนคุ้มครอง)
- คุ้มครองชีวิตในกรณีสูญเสียอวัยวะหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ โดยจะต้องมีเงื่อนไขกำหนดจึงจะได้รับเงินชดเชยเริ่มต้นอยู่ที่ 100,000 – 1,000,000 บาท (ตามแผนคุ้มครอง)
แผนความคุ้มครองของประกันออมทรัพย์ iPlus
- สามารถเลือกแผนความคุ้มครองได้ทั้งหมด 4 แผนนี้
- ความคุ้มครองแผน 1 จะมีทุนประกันภัยอยู่ที่ 100,000 บาท
- ความคุ้มครองแผน 2 จะมีทุนประกันภัยอยู่ที่ 300,000 บาท
- ความคุ้มครองแผน 3 จะมีทุนประกันภัยอยู่ที่ 700,000 บาท
- ความคุ้มครองแผน 4 จะมีทุนประกันภัยอยู่ที่ 1,000,000 บาท
จากข้อมูลทั้งหมดไม่ว่าจะแผนความคุ้มครอง ผลประโยชน์และความคุ้มครอง รวมรับเงินคืนเมื่อสิ้นปีกรมธรรม์ ฉะนั้นเราจะมาลองคำนวณดูเล่นๆกันว่า หากเลือกทุนประกันภัยอยู่ที่ 100,000 บาทนั้น เราจะได้รับผลตอบแทนอยู่ที่เท่าไร
ความคุ้มครองที่จะได้รับจากการเลือกความคุ้มครองแผน 1
- เสียชีวิตจากโรคทั่วไปหรือจากอุบัติเหตุ จะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 100,000 บาท
- เสียชีวิตจาก 5 โรคร้ายแรง ก็จะได้รับเงินคุ้มครองอยู่ที่ 50,000 บาท
- รับเงินผลประโยชน์จากการออมเงินสูงสุดอยู่ที่ 213.5% ของทุนประกันภัย หรือเท่ากับ 213,500 บาท โดยจะเฉลี่ยจ่ายคืนให้ทุกสิ้นปีกรมธรรม์
- รับเงินคืน 2% ในช่วงปีที่ 1 – 3 เท่ากับว่าจะได้รับเงินปีละ 2,000 บาท รวมกับเป็น 6,000 บาท
- รับเงินคืน 3% ในช่วงปีที่ 4 – 6 เท่ากับว่าจะได้รับเงินปีละ 3,000 บาท รวมกับเป็น 9,000 บาท
- รับเงินคืน 4% ในช่วงปีที่ 7 – 10 เท่ากับว่าจะได้รับเงินปีละ 4,000 บาท รวมกับเป็น 16,000 บาท
- เมื่อครบกำหนดสัญญาปีที่ 10 ก็จะได้รับเงินก้อนอีก 160% ของทุนประกันภัย คิดเป็นเงิน 160,000 บาท
- ฉะนั้นเมื่อรวมผลประโยชน์ทั้งหมดจากการออมเงินในรูปแบบประกันสุขภาพนี้ก็จะได้รับเงินคืนอยู่ที่ 191,000 บาท
- นอกจากนี้แล้วยังมีเงินปันผลอีกส่วนหนึ่งที่จะได้รับซึ่งก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเงินปันผลนั้นจะยังจะแบ่งออกไปอีกว่าอยู่ในระดับกลางหรือระดับสูง ซึ่งเอาเป็นว่ายังไงคุณก็จะได้รับเงินเพิ่มอีกจากผลประโยชน์ของประกันสุขภาพ
เงินปันผลที่จะได้รับจากการลงทุน
- สำหรับผลตอบแทนที่จะได้รับจากการลงทุนนั้น จะมีแบ่งเงินปันผลออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
- เงินปันผลระดับกลาง
- ในช่วงความคุ้มครองปีที่ 1 – 9 จะได้รับเงินปันผลในอัตรา 0.75% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
- ในช่วงความคุ้มครองปีที่ 10 จะได้รับเงินปันผลในอัตรา 12% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
- เงินปันผลระดับสูง
- ในช่วงความคุ้มครองปีที่ 1 – 9 จะได้รับเงินปันผลในอัตรา 0.90% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
- ในช่วงความคุ้มครองปีที่ 10 จะได้รับเงินปันผลในอัตรา 14.4% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
- เงินปันผลระดับกลาง
ทั้งนี้ เมื่อรวมเงินปันผลที่จะได้รับนั้น หากเป็นเงินปันผลในระดับกลางก็จะได้รับเงินอยู่ที่ 209.7% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย และถ้าเป็นเงินปันผลในระดับสูง ก็จะได้รับเงินอยู่ที่ 213.5% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
ช่องทางการสมัครประกันออมทรัพย์ iPlus
Credit : https://www.pexels.com
ประกันสุขภาพแบบมีเงินออม สมาร์เซฟเวอร์ จากกรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต
ประกันสุขภาพแบบมีเงินออม สมาร์เซฟเวอร์ เป็นประกันสุขภาพที่ให้คุณสามารถมีเงินเก็บได้ไปพร้อมกับความคุ้มครองทั้งเรื่องสุขภาพและคุ้มครองกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ โดยที่คุณจะต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 20 ปี ด้วยอัตราเบี้ยประกันภัยคงที่ และมีเงินคืนตอบแทนให้เมื่อครบทุกๆ 3 ปี ซึ่งต้องบอกว่าประกันสุขภาพแบบมีเงินออมนี้จะแฝงด้วยการทำประกันไว้ 2 ฉบับ โดยทั้ง 2 ฉบับนี้ก็จะให้ความคุ้มครองที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งสามารถสรุปได้โดยภาพรวมว่าสมัครแล้วจะได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลในกรณีเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ และยังมีเงินเก็บเมื่ออีกด้วย ส่วนรายละเอียดความคุ้มครองมีอะไรบ้าง และจะได้รับเงินออมเท่าไรมาดูรายละเอียดกันเลยค่ะ
จุดเด่นของประกันสุขภาพแบบมีเงินออม สมาร์เซฟเวอร์
- จ่ายเบี้ยคงที่ตลอด 20 ปี
- รับเงินคืนทุกๆ 3 ปีกรมธรรม์
- คุ้มครองชีวิตกรณีที่เจ็บป่วยด้วย 12 โรคร้ายแรง
- มีเงินชดเชยเมื่อขาดรายได้กรณีที่นอนโรงพยาบาล
- คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลต่อครั้งให้สูงสุดอยู่ที่ 1,100,000 บาท
อย่างที่เราได้บอกไปข้างต้นว่าการสมัครประกันสุขภาพแบบมีเงินออม สมาร์เซฟเวอร์นี้จะมีส่วนประกอบของ 2 สัญญา ได้แก่ สัญญาหลัก สมาร์เซฟเวอร์ และสัญญาเพิ่มเติม สมาร์เมดิแคร์พลัส ซึ่งรวมอยู่ที่ด้วยกัน ฉะนั้นวันนี้เราจะเจาะลึกของรายละเอียดความคุ้มครองกันว่าจะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรกันบ้าง
สัญญาหลัก สมาร์เซฟเวอร์
- คุ้มครองชีวิตให้นาน 20 ปี จ่ายเบี้ยประกันภัย 20 ปี
- รับเงินคืนทุก 3 ปี ซึ่งจะเริ่มได้รับเงินตั้งแต่กรมธรรม์ปีที่ 5
- เมื่อรวมผลประโยชน์ทั้งหมดที่จะได้รับเมื่อสิ้นสุดสัญญาสูงสุดจะอยู่ที่ 318% ของทุนประกันภัย
- คุ้มครองชีวิตกรณีที่ตรวจพบว่าเป็นโรคร้ายแรง 12 โรคร้าย ซึ่งจะได้รับเงินเมื่อสิ้นสุดสัญญา
สัญญาเพิ่มเติม สมาร์เมดิแคร์พลัส
- คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีที่เจ็บป่วย
- คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ
- มีเงินชดเชยการขาดรายได้ในขณะที่นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล
แผนความความคุ้มครองประกันสุขภาพแบบมีเงินออม สมาร์เซฟเวอร์
- ความคุ้มครองแผน 1
- วงเงินคุ้มครองชีวิตอยู่ที่ 100,000 บาท
- วงเงินคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่ที่ 280,000 บาท
- ความคุ้มครองแผน 2
- วงเงินคุ้มครองชีวิตอยู่ที่ 100,000 บาท
- วงเงินคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่ที่ 480,000 บาท
- ความคุ้มครองแผน 3
- วงเงินคุ้มครองชีวิตอยู่ที่ 200,000 บาท
- วงเงินคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่ที่ 650,000 บาท
- ความคุ้มครองแผน 4
- วงเงินคุ้มครองชีวิตอยู่ที่ 300,000 บาท
- วงเงินคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่ที่ 800,000 บาท
- ความคุ้มครองแผน 5
- วงเงินคุ้มครองชีวิตอยู่ที่ 500,000 บาท
- วงเงินคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่ที่ 1,100,000 บาท
ผลประโยชน์และความคุ้มครองที่จะได้รับประกันสุขภาพแบบมีเงินออม สมาร์เซฟเวอร์
กรณีเสียชีวิต หรือสูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวร เนื่องจากอุบัติเหตุ โดยจะแบ่งความคุ้มครองออกเป็น 3 กรณี ดังนี้
- กรณีที่เกิดเหตุปกติ หรือเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ จะได้รับเงินค่าสินไหมทดแทน 100,000 – 500,000 บาท
- กรณีที่เกิดจากอุบัติเหตุทั่วไป จะได้รับเงินค่าสินไหมทดแทน 200,000 – 1,000,000 บาท
- กรณีที่เกิดจากอุบัติเหตุสาธารณภัย จะได้รับเงินค่าสินไหมทดแทน 300,000 – 1,500,000 บาท
กรณีเบิกค่ารักษาพยาบาลที่เข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน
- หากนอนรักษาตัวที่ห้องผู้ป่วยปกติ จะเบิกค่าห้อง ค่าอาหาร และค่าบริการพยาบาล ได้วันละไม่เกิน 1,000 – 6,200 บาท (เบิกได้ไม่เกิน 75 วัน)
- หากอาการเจ็บป่วยรุนแรงจนต้องเข้ารักษาตัวที่ห้องผู้ป่วยหนัก หรือ ห้องC.U จะเบิกค่าได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ตั้งแต่วันละ 2,000 – 12,400 บาท (เบิกได้ไม่เกิน 20 วัน)
- ระหว่างนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลจะมีแพทย์มาตรวจเยี่ยมอาการรายวัน ซึ่งจะสามารถเบิกค่าแพทย์ในส่วนนี้ได้วันละไม่เกิน 600 – 1,200 บาท (เบิกได้ไม่เกิน 75 วัน)
- กรณีที่ขอคำปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทางจะเบิกค่าปรึกษาได้ครั้งละไม่เกิน 900 – 1,600 บาท ซึ่งจะจำกัดจำนวนในการเบิกจะได้ไม่เกิน 20 ครั้งต่อปี
- เบิกค่าธรรมเนียมแพทย์ผ่าตัดและหัตถการ รวมไปถึงค่าวางยาสลบในการผ่าตัด จะเบิกได้ไม่เกิน 40,000 – 120,000 บาท
- เบิกค่าธรรมเนียมแพทย์วิสัญญี จะเบิกได้ไม่เกิน 6,750 – 18,000 บาทต่อครั้ง
- กรณีที่ผ่าตัดนั้น จะเบิกค่าห้อง ค่าอุปกรณ์ที่ใช้ในการผ่าตัด ได้ต่อครั้งไม่เกิน 13,500 – 45,000 บาท
- นอกเหนือจากนั้นหากมีค่ารักษาพยาบาลอื่นๆที่เกิดขึ้นในระหว่างที่นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลนั้นจะสามารถเบิกได้ไม่เกิน 15,000 – 45,000 บาท แต่ถ้าหากค่ารักษาพยาบาลนั้นเกินวงเงินที่กำหนดให้ ทางประกันจะช่วยจ่ายเงินเพิ่มให้อีก 70% ของค่าใช้จ่ายส่วนเกิน แต่ก็จะต้องไม่เกินวงเงินค่ารักษาพยาบาลที่กำหนด
- เบิกค่าตรวจวินิจฉัยทางรังสีวิทยาและการตรวจในห้องปฏิบัติการในฐานะผู้ป่วยนอก ซึ่งเป็นในการกรณีที่มาตรวจก่อน 30 วัน ก่อนหรือหลังที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล จะเบิกค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้ไม่เกิน 4,000 – 14,000 บาท
- เบิกค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉินกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ จะเบิกได้ต่อครั้งไม่เกิน 3,500 – 12,000 บาท
กรณีที่สูญเสียอวัยวะหรือมีบาดแผลที่เกิดจากไหม้ที่มาจากอุบัติเหตุ จะได้รับความคุ้มครองดังนี้
- หากร่างกายสูญเสียอวัยวะ จะได้รับเงินชดเชยอยู่ที่ 2,000 – 500,000 บาท (ขึ้นอยู่กับความสูญเสียและแผนความคุ้มครองที่เลือก)
- กรณีที่กระดูกขาหรือสะบ้าแตกหัก จะได้รับเงินชดเชยอยู่ที่ 10,000 – 50,000 บาท
- กรณีที่ขาหดสั้นลงอย่างน้อย 5 เซนติเมตร จะได้รับเงินชดเชยอยู่ที่ 7,500 – 37,500 บาท
- กรณีที่มีบาดแผลจากไฟไหม้ จะได้รับเงินชดเชยอยู่ที่ 25,000 – 500,000 บาท (ขึ้นอยู่กับความเสียหายว่าถูกไฟไหม้ไปกี่เปอร์เซนต์รวมกับแผนความคุ้มครองที่เลือก)
กรณีที่ขาดรายได้เนื่องจากต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล จะได้รับความคุ้มครองดังนี้
- รับเงินชดเชยการขาดรายได้ต่อวัน 1,000 บาท ซึ่งจะเบิกได้ไม่เกิน 365 วัน
- กรณีที่เข้ารักษาตัวในห้องผู้ป่วยหนัก หรือห้อง C.U จะได้รับเงินชดเชยอยู่ที่วันละ 2,000 บาท เบิกได้ไม่เกิน 15 วัน
- กรณีที่ผ่าตัดและหัตถการ จะได้รับเงินชดเชยวันละ 2,500 บาท ซึ่งจะเบิกได้ไม่เกิน 5 วันต่อการรักษาในหนึ่งครั้ง และจะเบิกได้ไม่เกิน 15 วันต่อปี
ผลประโยชน์โดยรวมที่จะได้รับเมื่อครบสัญญาคุ้มครอง
- กรณีที่คุณเลือกรับเงินสด รวมตลอดสัญญาการคุ้มครองจะได้รับเงินอยู่ที่ 315,000 – 1,575,000 บาท
- กรณีที่คุณเลือกรับเงินก้อนเดียว เมื่อครบสัญญา จะได้รับเงินอยู่ที่ 340,695 – 1,703,473 บาท
ทั้งนี้ การได้รับผลประโยชน์นั้นก็จะต้องขึ้นอยู่กับแผนความคุ้มครองที่เลือกยิ่งเลือกความคุ้มครองสูง ผลประโยชน์ที่ได้รับก็ย่อมจะสูงตามไปด้วย
กรณีที่คุ้มครองโรคร้ายแรง
- จะได้รับความคุ้มครองโรคร้ายแรง 12 โรค ได้แก่
- โรคหัวใจวาย
- โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดหลอดเลือก
- โรคมะเร็ง
- โรคหลอดเลือดสมอง
- ทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวร
- การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะสำคัฯ
- โรคไตวายเรื้อรังและไม่สามารถกลับคืนสู่ภาวะปกติ
- แผลไหม้ฉกรรจ์
- โรคเนื้องอกในสมอง
- โรคคับอักเสบระยะอันตราย
- โรคเนื้อเยื่อแข็งตัวทั่วไป
- การเจ็บป่วยจวนสิ้นชีวิต
อัตราเบี้ยประกันสุขภาพแบบมีเงินออม สมาร์เซฟเวอร์
- การจ่ายเบี้ยประกันภัยก็จะต้องขึ้นอยู่กับอายุของผู้ที่ทำประกันสุขภาพและแผนความคุ้มครองที่เลือก โดยเบี้ยประกันภัยจะเริ่มต้นอยู่หมื่นต้นๆ
คุณสมบัติของผู้สมัครประกันสุขภาพแบบมีเงินออม สมาร์เซฟเวอร์
- สมัครได้ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงอายุ 60 ปี
ช่องทางการสมัครประกันสุขภาพแบบมีเงินออม สมาร์เซฟเวอร์
Credit : https://www.pexels.com
อย่างที่เราได้บอกไว้ว่าเมื่อยุคเปลี่ยนแปลงไปเราเองก็จะต้องก้าวให้ทันตามยุคสมัยตามสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ก็เช่นเดียวกับการออมเงินที่เดี๋ยวนี้เองธนาคารก็หันมาจับธุรกิจการทำประกันภัยต่างๆเช่นกัน และหนึ่งในนั้นก็คือการทำประกันชีวิตเพื่อการออมเงิน เพื่อเป็นตัวเลือกให้กับคนรุ่นใหม่ที่อยากได้ทั้งความคุ้มครองชีวิตควบคู่ไปกับเงินออม หรือบางคนก็ทำประกันชีวิตไปพร้อมกับการลงทุน เพื่อหวังผลกำไร ซึ่งข้อดีของการทำประกันชีวิตในการออมเงินนั้น หากเราอยู่ครบสัญญาก็จะได้รับเงินทั้งหมดคืนพร้อมกับดอกเบี้ย หรือเงินปันผล แต่ถ้าในระหว่างการคุ้มครองมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับเหรา คนในครอบครัวก็จะไม่ต้องลำบากเพราะประกันชีวิตออมทรัพย์นี้ก็ยังมีเงินก้อนให้อีก และสำหรับใครที่ยังมองหาประกันชีวิตที่ออมทรัพย์หรือเพื่อลงทุน แต่ยังสับสนไม่รู้ว่าจะสมัครที่ไหนดี ลองเข้ามาอ่านบทความที่เราเคยไว้เกี่ยวกับประกันชีวิตในรูปแบบต่างๆที่เว็บไซต์ iMoney.in.th และเพื่อนๆสามารถติดตามทุกความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับการเงินได้ทั้งทางเว็บไซต์หรือทางเฟสบุ๊คก็ได้เช่นกัน พวกเราทีมงาน iMoney จะคอยอัพเดททุกข่าวสารที่เกี่ยวกับการเงินที่นี่เดียวกับ iMoney